มันจะผิดมากไหม ? ถ้าเรากำลังจะเริ่มรู้สึกไม่ดี และ Dawn ลงเรื่อยๆ กับพฤติกรรมของแม่เพื่อน ที่เค้าเห็นหน้าเรามาตั้งแต่ตัวน้อยๆ
เรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนคนนี้ มายืมเงินเราไปจำนวนเกือบๆ 4หมื่น (3x,xxx) เพื่อนำไปหมุนเงินช่วยธุรกิจที่บ้าน
เพราะธุรกิจที่บ้านกำลังมีปัญหา เคยมีปัญหาถึงขั้นเฉียดล้มละลาย
สาเหตุที่ให้ยืม เพราะเป็นเพื่อนคนเดียว ที่ส่วนตัว ทำงานประกอบธุรกิจเหมือนกันไปด้วยตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ หลายๆอย่าง เลยเข้าใจกันดี
(ปกติโตมา เรื่องเงินไม่เคยให้ใครยืม เพราะเข็ด พึ่งกลับมาไว้ใจให้เพื่อนคนนี้)
#ปล. ปัจจุบัน เพื่อนก็ยังเรียนไม่จบ พึ่งจะได้กลับไปเรียนต่อ เพราะต้องดรอปไปหลายปี ไปช่วยธุรกิจที่บ้าน เลยต้องกลับไปสตาร์ทเรียนใหม่
เพื่อนมายืมเงินไป ตั้งแต่ต้นเดือน พฤษภา ปีที่แล้ว (พึ่งครบปีไปหมาดๆ)
เงินที่ให้เพื่อนยืม จริงๆเป็นเงินสำรอง เพราะส่วนตัวเราพอมีเงินเก็บใช้ได้บ้าง เนื่องจากขายของตั้งแต่เรียน ออกมาค้าขาย และก็เป็น freelace ควบคู่กับช่วยธุรกิจที่บ้านไปด้วย(ปัจจุบัน) ธุรกิจทางบ้าน(คือของน้าไม่ใช่ของตัวเอง-พ่อ,แม่)
เงินที่ให้ยืม ก็มีทวงบ้าง บอกตรงๆบ้าง อ้อมๆบ้าง เวลาเราช๊อตๆ หมุนเงินไม่ทัน
ทุกครั้ง เพื่อนจะพูดมาประโยคเดิมๆ ว่า "เดี๋ยวดูให้"
เรามักถามย้ำตลอด ว่ามีแน่นะ ไม่ลำบากนะ
เพื่อนก็มักจะตอบประโยคเดิมๆ ว่า "พอมีๆ ได้ๆแบ่งได้ๆ"
(แต่สุดท้ายก็ไม่เคยได้)
จนต้นปีที่ผ่านมา เดือน กุมภา เรามีรับจัดดอกไม้ตามสั่งวันวาเลนไทน์ และเพื่อนคนนี้ก็ออเดอร์ด้วย
เรา นัดส่งดอกไม้ให้เพื่อนตอนเช้าของวันที่ 13 ณ ร้านกาแฟร้านประจำแถวบ้านก่อนไปทำงาน วันที่ 14 เพื่อนไม่ได้เจอแฟน(อยู่ไกลกัน)
ค่าดอกไม้ 800 บาท ติดไว้ก่อน เป็นดอกลิลลี่ช่อใหญ่ล้วนๆไม่รวมดอกหญ้าประดับดอกเล็กดอกน้อย และห่อกระดาษ+ค่าห่อ (เราคิดเพื่อนเท่านี้)
วันที่ 14 เพื่อนเลิกงานดึก + เราด้วย เพื่อนนัดเจอชวนดูหนัง พร้อมกับโอนค่าดอกไม้ให้ และพูดขึ้นมาเรื่องเงินที่ติดอยู่ ว่าเดี๋ยวรอแม่มันแบ่งยอดขายแล้วจะโอนตามมาให้
เรา โอเค ไม่อะไร
วันถัดๆมา ที่เรามีไปธนาคาร เอาบุ๊คไปปรับ แต่เงินก็ยังไม่มีเข้า (เราโอเค ไม่อะไร ไม่ได้ทวงตอนนั้น เพราะรู้อยู่แล้วว่าไม่ได้)
จนเมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมา ชีวิตเราเริ่มมีปัญหา และส่วนหนึ่ง ก็มีเรื่องการเงินด้วย ชีวิตเหมือนค่อยๆเดินช้าลงเหนื่อยๆ แล้วก็มาสะดุดหยุดอยู่ตรงนั้น
เพื่อนคนนี้ เป็นเพื่อนคนสุดท้าย ที่เข้าหาเรา (ปกติเราเหลือคบเพื่อนอยู่จริงๆจังๆแค่ไม่กี่คน)
เมื่อเราได้คุยปรับทุกข์กับเพื่อน เราก็พอโอเคขึ้นบ้าง พอคิดอะไรได้บ้าง ก็โอเค
แต่เมื่อมีบริบทสนทนาที่เกี่ยวกับเรื่องการเงิน เพื่อนไม่มีพูดถึงเรื่องเงินที่ติดอยู่แม้แต่น้อย
เมื่อเราเริ่มพอจะดีขึ้น เราจึงลองๆใจเพื่อน ถามๆเพื่อนไปว่า
เรา : " เออ เดือนก่อนมีเงินเข้าบัญชีมา 4x,xxx กูยังไม่ได้เช็ค ใช่ของเอ็งหรือเปล่า "
(จริงๆไม่มีเงินใดๆเข้ามา เพียงแต่ต้องการลองใจมัน)
เพื่อน : (ทำหน้าครุ่นคิด)
" ไม่แน่ใจๆ เดือนกุมภาไหม กูมีให้แม่กูโอนไป แต่เขาจะโอนให้ 4x,xxx เลยหรอวะ "
เรา : " เช็ค ให้กูหน่อยล่ะกัน "
เพื่อน : " ได้ๆ "
. . . . .
สรุป เพื่อนก็พึ่งจะรู้เดี๋ยวนั้น ว่าแม่มันยังไม่ได้โอนให้
ตอนที่เรามีปัญหาและคุยกัน เมื่อมีเข้าบทสนทนาเรื่องเงิน เพื่อนเลยไม่ได้มีเอ่ยถึงเงินที่ติดค้างกันไว้
เนื่องจากตอนแบ่งยอดแบ่งส่วน เพื่อนมีบอกให้แม่มันโอนคืนให้เราแล้ว แต่วันนั้นแม่เค้ากลับเอาเงินส่วนนี้ ไปหมุนใช้จ่ายส่วนอื่น ของเขาแทน
ถัดๆกันเมื่อเงินเดือนหลักเรากระทบ เพราะต้องเอาไปหมุนอีกบัญชี และเพื่อนได้รับทราบ เพื่อนก็มีเจรจากับแม่มัน ว่าจะแบ่งคืนเรามาก่อน สัก 15,000 ได้ไหม
( เราไม่ต้องถามทวงใดๆ )
เพราะเมื่อหลังเย็นวันนั้น ก็เห็นเพื่อนโพสน์ สบถลงเฟส ว่า " นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ ! "
#หลังจากวันนั้นมา เราก็ได้รับรู้ได้เห็นอะไรลึกลงไปอีก
มีอยู่วันหนึ่ง น้องเพื่อน(ลูกพี่ลูกน้องหลานแม่)โทรหาเพื่อน ว่ายังไม่ได้รับค่าเทอมที่จะเปิดและต้องจ่ายแล้ว
(พ่อน้องเขาเสีย ทางบ้านเพื่อนตกลงจะช่วยเรื่องค่าเรียน และญาติฝ่ายอื่นๆช่วยค่ากินอยู่)
เพื่อนก็บอกจะตามให้ ถามน้องว่าค่ากินค่าไรพอไหม น้องก็บอกว่ามีเพราะต้องทำงานเหมือนกัน
พอตามไปที่แม่ ส่วนที่จะต้องจ่าย แม่เพื่อนกับปัดกลับมา
และ สดๆร้อนๆ เมื่อปลายเดือน-ต้นเดือน ที่ผ่านมานี้ เพื่อนก็มีโทรมาปรึกษา ระบาย ว่า แม่เอายอดขายที่ลูกค้าโอนมาล่าสุด ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่าย แบ่งกำไร-ทุน ก็เอาเงินตรงส่วนนี้ ไปไถพวกข้าวของ สร้อย-แหวน-กำไร ของนางออกมาก่อน !
# เราเข้าใจนะ และก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะตัวเราเองก็ไม่รู้ ไม่ใช่แม่เขา และไม่รู้ว่าของๆนางที่ต้องไปรีบไถออกมา มีความสำคัญจำเป็นมากแค่ไหน ก็เลยไม่อยาก comment อะไร แม้จริงๆจะเอือมๆก็ตาม
[ คือ ระบบของบริษัทเพื่อน จะใช้บัญชีแม่เป็นหลัก ทุกอย่างจะเข้าบัญชีแม่ และเค้าจะจัดการทุกอย่าง เอาไปใช้ ไปจัดสรรต่างๆ ]
แม้แต่พ่อเพื่อนเองก็เอือม จริงๆ ปัญหาทุกอย่างก็ไม่ได้เริ่มแค่แม่คนเดียว แต่มันเป็นปัญหาภายใน(เรื่องทางบ้านเพื่อนที่เราไม่ควรเอามาพูด)
เราเคยพูดเรื่องให้ทำบัญชีกลางบริษัท(ซึ่งมันควรจะต้องเป็นแบบนั้น) ตั้งแต่เพื่อนมีปัญหาและมาขอคำปรึกษาแต่แรกๆ แต่ก็ยังเป็นแบบเดิม และเราก็พูดก็ย้ำเรื่องนี้ตลอดทุกครั้งเวลามาปรึกษากัน
จริงๆ เงิน เกือบๆ 4 หมื่น ถึงแม้มันจะไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆเลย แต่มันก็ไม่ได้ถึงกับมาก จนทำให้เป็นปัญหาขนาดนั้น
แต่ที่เรารู้สึก คือ รู้สึกเจ็บใจมากกว่า ที่แม่เขา ซึ่งก็เห็นเรามาแต่เล็กแต่น้อยเคยเที่ยวด้วยกัน ยกมือรับไหว้กัน จะมาทำกันแบบนี้ เหมือนเห็นเราเป็นแค่เด็ก ที่จะยังไงกับเราก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจเรา ทั้งๆที่แต่รู้จักกันเราเคารพและเกรงใจพ่อ-แม่ เพื่อนมาตลอด
ในวันที่ธุรกิจเขาเงินขาดหมุนไม่ทัน เราวิ่งตรงเอาบุ๊คไปแบงค์ถอนให้เพื่อนได้เดี๋ยวนั้นทันที !
ซึ่งที่เขาทำ มันตรงข้าม มันน่าเกลียด ไม่รู้เราจะใช้คำแรงไปไหมหรือยัง ?
ตอนนี้ ชีวิตเราเองก็สะดุด จากที่เคยมีแรง มีไฟ ทำงานฟรีแลนซ์ ควบคู่งานบริษัทไปด้วย ก็ทำไม่ได้ เหลือแค่อย่างเดียว เริ่มหมดแรง หลายครั้งเข้าออฟฟิศก็จะไม่ไหว งานหลายๆอย่างเริ่มเจ๊ง เริ่มหดหาย
hobby งานอดิเรกที่เคยทำได้ เคยขายของอะไรได้ ตอนนี้ของก็ไม่มีขาย แต่บัญชีที่งอกเงยแตกผลไว้แล้วก็ต้องเดินต่อ เราได้เงินเดือนๆหนึ่งมา ก็ต้องทรานเฟอร์ไปใส่อีกบุ๊ค ไปเลี้ยงอีกบุ๊ค ,ให้น้อง ,ค่าต่างๆในบ้าน ส่วนใช้เราก็เหลือไม่เท่าไหร่ แค่ใช้กินไปวันๆ แต่ไม่มีเงินต่อยอดไปทำอย่างอื่น สเตทเม้นที่เคยเดินดี มันก็แย่ลง จะไปทำอะไรก็ลำบาก เราเป็นคนคิด เป็นคนวางแผนอยู่แล้ว
ชีวิตเรา คือรู้ว่าจุดหมายปลายทางคืออะไร และเราอยากทำอะไร แต่มันไปไม่ได้สักที พอสะดุดทีก็อยู่กับที่
สภาวะตอนนี้คือหมดแรงในสิ่งที่อยากจะทำมัน เหมือนไฟที่มันดับแล้วโดนลมเป่าๆ จุดยังไงมันก็ไม่ติด
แล้วเราก็กำลังจะป่วยเป็นโรคอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งหมอให้ไปตรวจที่ ศิริราช ก็ยังไม่ได้ไป เนื่องจากต้องไปรักษาห้องพิเศษและอาจจะไม่อยู่ในสิทธิประกันสังคม
*เราอยากจะถาม ว่าเราจะเกลียดแม่เพื่อนได้ไหม ?
ซึ่งใจจริงลึกๆ เราก็ไม่ได้อยากจะเกลียดแม่เขาเลย
ตัวเพื่อนเอง ก็เป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทที่เราเหลืออยู่
จริงๆถ้าไม่ได้มีปัญหาอะไรเราก็ไม่คิด แต่พอเรามีปัญาอะไรเข้ามาที โดยเฉพาะช่วงที่เรากำลังเผชิญกับตัวเองอยู่ตอนนี้ เราก็มักจะจับประเด็นนู่นนี่มาคิดรวมกันเต็มไปหมด
เราโอเคกับเพื่อน ที่ทุกวันนี้ไม่อะไรมากเลย เพราะถึงแม้ไม่มีจ่าย แต่เพื่อนไม่เคยพูดไม่ดี ไม่หนี และยังเจอๆกันอยู่
อารมณ์ ไม่มี - ไม่หนี - ไม่จ่าย
แต่สิ่งที่ไม่ค่อยโอเคอย่างหนึ่ง คือตัวเพื่อนเองก็มักจะติดมีนิสัยเห็นแก่ตัวอยู่ในแบบของมัน โดยที่ตัวเองคิดว่าตนเป็นคนไม่เห็นแก่ตัว
อย่างตอนที่มันบ่นแม่มันเรื่องได้เงินมาแล้วเอาไปใช้
มันก็พูดตามหลักว่าได้มาควรหักทุน แบ่งเก็บกำไรก่อน ไม่ใช่เอาไปใช้ส่วนตัว หรือจ่ายหนี้อะไรเลย ควรเคลียร์ภายในก่อน ไม่ใช่เอาไปใช้ตัวเอง หรือใช้หนี้คนอื่น (ใช้หนี้คนอื่น) ...
ใช่ เราก็ตอบไปได้แต่ว่า " ถูก "
ซึ่งมันก็ถูก และก็จริง ที่ต้องเป็นอย่างนั้น แต่มันก็พูดงี้ โดยที่ไม่ได้นึกถึงใจคนที่มันติดเงินอยู่อย่างเราบ้างเลย
จริงๆมันคิดถูก เราไม่อะไรกับมัน แต่เราก็แอบจุกเล็กๆ
และด้วยนิสัยส่วนตัวของเพื่อน ที่ได้มาไม่พอเก็บ แต่ก็ไม่ค่อยจะเก็บ
วันนึง ทำงานอยากกินกาแฟ ผ่าน สตาร์บั๊ค ก็ต้องแวะ
แม่มันอีก ที่ก็ติดและชอบใช้ให้มันออกไปซื้อเข้ามาให้
ทำงานเครียดๆ บุหรี่ อาทิตย์ๆนึง เฉลี่ย 2-3วัน ต้องซื้อทีกล่อง และค่าจิปาถะ ซึ่งจริงๆ ถ้ามันเก็บ บวกๆไป เดือนๆนึง ก็เป็นจำนวนเงินหลายบาท รวมๆกันไปเรื่อยๆก็ไม่ได้น้อยๆ อื่นๆฯ อีกถึงแม้มันจะลดเลิกของฟุ่มเฟื่อยหลายๆอย่างไปได้บ้าง มากแล้วก็ตาม
และนิสัยติดเพื่อน(เที่ยว) ปาร์ตี้ ซึ่งหลังๆเมื่อมันมีภาระนานๆอาจไปที แต่มันก็ยังเสพติดกับกลุ่มแบบนี้อะไรพวกนี้อยู่ ซึ่งไปที ก็ใช้เงินไม่ได้จะน้อย ทุกเทศกาลใช้ตังค์ คือต้องไป เพราะติดเพื่อนพวกนี้
ล่าสุด เราไปแอบเห็นโพสน์แท็ก จากเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งแท็กโปรตั๋วของแอร์เอเชียร์ ชวนเพื่อนแก๊งก๊วนสายเฮ้วๆ ว่าจะไปญี่ปุ่นกันสิ้นปีนี้(ขอเรียกย่อว่านาย K)
ซึ่ง นาย K คนดังกล่าวจริงๆ ก็เคยเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกันกับเราเหมือนกัน แต่ได้เลิกคบกันไปแล้ว เนื่องจากชีวิตที่แตกต่างไม่ลงลอยและเดินกันไปคนละเส้นทาง เราไม่ได้มี friend บนเฟสบุ๊ค แต่เห็นจากโพสน์ที่แท็กมาหาเพื่อน
ซึ่งจริงๆ คิดว่า โอ หรือไม่ ? ... จากตรงนี้ เราเริ่มส่ายหน้า
ก่อนหน้านั้นปีก่อน เราคุยกันในกลุ่มที่เหลือๆกันอยู่ ว่าถ้าเพื่อนเคลียร์ปัญหาเสร็จแล้ว จะไปเที่ยวที่ไหนไกลๆกันสักที่ ซึ่งตอนแรกดูแพลนไว้สิ้นปีนี้ แต่เมื่อเห็นเพื่อนมีปัญหา และเพื่อนร่วมทริปที่แพลนด้วยกันทุกคนเห็นตรงกันว่าอยากรอมันโอเคกว่านี้ และอยากเก็บตังค์ทำอะไรกันก่อน ก็ขอทำงานเก็บตังค์กันไปเรื่อยๆก่อนรอๆมัน ... ซึ่งจริงๆเพื่อนคนต้นโพสน์นั้นอยากไป
มาวันนี้ เรากับกลุ่มเพื่อนก็นัดๆเจอๆกัน ซึ่งก็มีเพื่อนคนนี้ด้วย
และก็ได้มีประโยคหนึ่งที่เพื่อนคนนี้ได้เอ่ยสอบถามเรื่องนั่งรถต่างเมืองในญี่ปุ่นกับเพื่อนอีกคน ซึ่งเคยเป็นนักเรียนทุนไปเรียนอยู่นู่น
(ในใจเรารู้อยู่แล้วนะ แต่ก็นิ่ง)
เราถามเพื่อนไปว่าใครอยากไป บ้านหรอ
มันตอบกลับมาว่ามันนั่นแหละ ดูๆไว้ก่อน
ซึ่งเราไม่ได้พูดกับมันเรื่องไอ K
เพราะมันรู้ ว่าเราไม่ได้เป็นเพื่อนในเฟสกับ K แล้ว
แต่เราแอบไปเห็นจากโพสน์นาย K มัน ก่อนหน้านั้น
และเราก็คิดอยู่แล้วว่ามันต้องไป
เพราะส่วนตัวไอ K คนนี้ นั้นเป็นคนเอาแต่ใจ อยากได้อะไรต้องได้ อยากไปไหนต้องไป เพื่อนเก่าๆในกลุ่มทุกคนล้วนรู้ดี
ทุกวันนี้เพื่อนคนนี้ เวลาสนุก ก็มักจะไปกับกลุ่มนาย K
ซึ่งส่วนใหญ่จะมาเจอหน้าเรา กับกลุ่มเพื่อนเราอีกกลุ่มที่อยู่ด้วยกันก็เวลาปรับทุกข์ กับเรื่องงานเสียมากกว่า มีเอนจอยกันบ้างก็นิดๆหน่อยๆตามภาษาคนทำงานกันแล้ว
เราไม่ได้ไม่โอเคกับมันซะทีเดียว เพราะเวลาที่เป็นแบบนี้ เราก็เริ่มยิ่งที่จะโทษแม่มัน
หากช่างน้ำหนักแล้ว เอาจริงๆ ข้อดีของเพื่อนคนนี้ มันก็มี ถ้าตัดเรื่องทั้งหมดที่กล่าวมาทิ้ง มันก็เป็นเพื่อนที่ดีมากๆคนหนึ่ง
ปัญหาคร่าวๆมันก็มีอยู่แค่เรื่องทั้งหมดที่เล่ามา
ใจนึง เรื่องเที่ยวเรื่องตามใจเพื่อน เราก็อยากหาโอกาสพูดกับมันตรงๆ ซึ่งก็ไม่รู้จะใช้วิธีพูดยังไง
ใจนึง เราก็อยากวัดใจ วัดค่าความเป็นเพื่อน ความเห็นใจเกรงใจกันบ้างที่ตรงนี้ อยากรู้ว่ามันจะทำยังไง
ก็วัดๆกันไปเลยแล้วพอ ซึ่งเพื่อนอีกคนหนึ่งในกลุ่มก็บอกกับเราว่า ถ้าผลมันจะออกมาเป็นยังไง และเราเลือกทางไหน มันเคารพการตัดสินใจของเรา
เราควรบอกกับเพื่อนตรงๆ หรือ ควรวัดใจกันครั้งสุดท้ายที่ตรงนี้ ?
แล้วด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้ มันเพียงพอ และ สมควร กับการที่เราจะเกลียดแม่เพื่อนได้หรือยัง ?
เพราะจุดเริ่มต้นทั้งหมดจริงๆนั้น ก็ไม่ได้อยู่ที่เพื่อนเป็นคนก่อเลย
และถ้าสุดท้ายเราจะรู้สึกไม่ดีกับเพื่อนสนิทจริงๆของเราคนนี้มากๆไปด้วย เราก็คงอดที่จะโทษแม่แกไม่ได้จริงๆ
ผิดไหม ? หากเรากำลังจะรู้สึกแย่ และเกลียดแม่เพื่อนสนิท (ที่เห็นหน้ากันมาตั้งแต่เราเป็นเด็ก) ?
เรื่องมีอยู่ว่า เพื่อนคนนี้ มายืมเงินเราไปจำนวนเกือบๆ 4หมื่น (3x,xxx) เพื่อนำไปหมุนเงินช่วยธุรกิจที่บ้าน
เพราะธุรกิจที่บ้านกำลังมีปัญหา เคยมีปัญหาถึงขั้นเฉียดล้มละลาย
สาเหตุที่ให้ยืม เพราะเป็นเพื่อนคนเดียว ที่ส่วนตัว ทำงานประกอบธุรกิจเหมือนกันไปด้วยตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ หลายๆอย่าง เลยเข้าใจกันดี
(ปกติโตมา เรื่องเงินไม่เคยให้ใครยืม เพราะเข็ด พึ่งกลับมาไว้ใจให้เพื่อนคนนี้)
#ปล. ปัจจุบัน เพื่อนก็ยังเรียนไม่จบ พึ่งจะได้กลับไปเรียนต่อ เพราะต้องดรอปไปหลายปี ไปช่วยธุรกิจที่บ้าน เลยต้องกลับไปสตาร์ทเรียนใหม่
เพื่อนมายืมเงินไป ตั้งแต่ต้นเดือน พฤษภา ปีที่แล้ว (พึ่งครบปีไปหมาดๆ)
เงินที่ให้เพื่อนยืม จริงๆเป็นเงินสำรอง เพราะส่วนตัวเราพอมีเงินเก็บใช้ได้บ้าง เนื่องจากขายของตั้งแต่เรียน ออกมาค้าขาย และก็เป็น freelace ควบคู่กับช่วยธุรกิจที่บ้านไปด้วย(ปัจจุบัน) ธุรกิจทางบ้าน(คือของน้าไม่ใช่ของตัวเอง-พ่อ,แม่)
เงินที่ให้ยืม ก็มีทวงบ้าง บอกตรงๆบ้าง อ้อมๆบ้าง เวลาเราช๊อตๆ หมุนเงินไม่ทัน
ทุกครั้ง เพื่อนจะพูดมาประโยคเดิมๆ ว่า "เดี๋ยวดูให้"
เรามักถามย้ำตลอด ว่ามีแน่นะ ไม่ลำบากนะ
เพื่อนก็มักจะตอบประโยคเดิมๆ ว่า "พอมีๆ ได้ๆแบ่งได้ๆ"
(แต่สุดท้ายก็ไม่เคยได้)
จนต้นปีที่ผ่านมา เดือน กุมภา เรามีรับจัดดอกไม้ตามสั่งวันวาเลนไทน์ และเพื่อนคนนี้ก็ออเดอร์ด้วย
เรา นัดส่งดอกไม้ให้เพื่อนตอนเช้าของวันที่ 13 ณ ร้านกาแฟร้านประจำแถวบ้านก่อนไปทำงาน วันที่ 14 เพื่อนไม่ได้เจอแฟน(อยู่ไกลกัน)
ค่าดอกไม้ 800 บาท ติดไว้ก่อน เป็นดอกลิลลี่ช่อใหญ่ล้วนๆไม่รวมดอกหญ้าประดับดอกเล็กดอกน้อย และห่อกระดาษ+ค่าห่อ (เราคิดเพื่อนเท่านี้)
วันที่ 14 เพื่อนเลิกงานดึก + เราด้วย เพื่อนนัดเจอชวนดูหนัง พร้อมกับโอนค่าดอกไม้ให้ และพูดขึ้นมาเรื่องเงินที่ติดอยู่ ว่าเดี๋ยวรอแม่มันแบ่งยอดขายแล้วจะโอนตามมาให้
เรา โอเค ไม่อะไร
วันถัดๆมา ที่เรามีไปธนาคาร เอาบุ๊คไปปรับ แต่เงินก็ยังไม่มีเข้า (เราโอเค ไม่อะไร ไม่ได้ทวงตอนนั้น เพราะรู้อยู่แล้วว่าไม่ได้)
จนเมื่อช่วงเดือนที่ผ่านมา ชีวิตเราเริ่มมีปัญหา และส่วนหนึ่ง ก็มีเรื่องการเงินด้วย ชีวิตเหมือนค่อยๆเดินช้าลงเหนื่อยๆ แล้วก็มาสะดุดหยุดอยู่ตรงนั้น
เพื่อนคนนี้ เป็นเพื่อนคนสุดท้าย ที่เข้าหาเรา (ปกติเราเหลือคบเพื่อนอยู่จริงๆจังๆแค่ไม่กี่คน)
เมื่อเราได้คุยปรับทุกข์กับเพื่อน เราก็พอโอเคขึ้นบ้าง พอคิดอะไรได้บ้าง ก็โอเค
แต่เมื่อมีบริบทสนทนาที่เกี่ยวกับเรื่องการเงิน เพื่อนไม่มีพูดถึงเรื่องเงินที่ติดอยู่แม้แต่น้อย
เมื่อเราเริ่มพอจะดีขึ้น เราจึงลองๆใจเพื่อน ถามๆเพื่อนไปว่า
เรา : " เออ เดือนก่อนมีเงินเข้าบัญชีมา 4x,xxx กูยังไม่ได้เช็ค ใช่ของเอ็งหรือเปล่า "
(จริงๆไม่มีเงินใดๆเข้ามา เพียงแต่ต้องการลองใจมัน)
เพื่อน : (ทำหน้าครุ่นคิด)
" ไม่แน่ใจๆ เดือนกุมภาไหม กูมีให้แม่กูโอนไป แต่เขาจะโอนให้ 4x,xxx เลยหรอวะ "
เรา : " เช็ค ให้กูหน่อยล่ะกัน "
เพื่อน : " ได้ๆ "
. . . . .
สรุป เพื่อนก็พึ่งจะรู้เดี๋ยวนั้น ว่าแม่มันยังไม่ได้โอนให้
ตอนที่เรามีปัญหาและคุยกัน เมื่อมีเข้าบทสนทนาเรื่องเงิน เพื่อนเลยไม่ได้มีเอ่ยถึงเงินที่ติดค้างกันไว้
เนื่องจากตอนแบ่งยอดแบ่งส่วน เพื่อนมีบอกให้แม่มันโอนคืนให้เราแล้ว แต่วันนั้นแม่เค้ากลับเอาเงินส่วนนี้ ไปหมุนใช้จ่ายส่วนอื่น ของเขาแทน
ถัดๆกันเมื่อเงินเดือนหลักเรากระทบ เพราะต้องเอาไปหมุนอีกบัญชี และเพื่อนได้รับทราบ เพื่อนก็มีเจรจากับแม่มัน ว่าจะแบ่งคืนเรามาก่อน สัก 15,000 ได้ไหม
( เราไม่ต้องถามทวงใดๆ )
เพราะเมื่อหลังเย็นวันนั้น ก็เห็นเพื่อนโพสน์ สบถลงเฟส ว่า " นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ ! "
#หลังจากวันนั้นมา เราก็ได้รับรู้ได้เห็นอะไรลึกลงไปอีก
มีอยู่วันหนึ่ง น้องเพื่อน(ลูกพี่ลูกน้องหลานแม่)โทรหาเพื่อน ว่ายังไม่ได้รับค่าเทอมที่จะเปิดและต้องจ่ายแล้ว
(พ่อน้องเขาเสีย ทางบ้านเพื่อนตกลงจะช่วยเรื่องค่าเรียน และญาติฝ่ายอื่นๆช่วยค่ากินอยู่)
เพื่อนก็บอกจะตามให้ ถามน้องว่าค่ากินค่าไรพอไหม น้องก็บอกว่ามีเพราะต้องทำงานเหมือนกัน
พอตามไปที่แม่ ส่วนที่จะต้องจ่าย แม่เพื่อนกับปัดกลับมา
และ สดๆร้อนๆ เมื่อปลายเดือน-ต้นเดือน ที่ผ่านมานี้ เพื่อนก็มีโทรมาปรึกษา ระบาย ว่า แม่เอายอดขายที่ลูกค้าโอนมาล่าสุด ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่าย แบ่งกำไร-ทุน ก็เอาเงินตรงส่วนนี้ ไปไถพวกข้าวของ สร้อย-แหวน-กำไร ของนางออกมาก่อน !
# เราเข้าใจนะ และก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะตัวเราเองก็ไม่รู้ ไม่ใช่แม่เขา และไม่รู้ว่าของๆนางที่ต้องไปรีบไถออกมา มีความสำคัญจำเป็นมากแค่ไหน ก็เลยไม่อยาก comment อะไร แม้จริงๆจะเอือมๆก็ตาม
[ คือ ระบบของบริษัทเพื่อน จะใช้บัญชีแม่เป็นหลัก ทุกอย่างจะเข้าบัญชีแม่ และเค้าจะจัดการทุกอย่าง เอาไปใช้ ไปจัดสรรต่างๆ ]
แม้แต่พ่อเพื่อนเองก็เอือม จริงๆ ปัญหาทุกอย่างก็ไม่ได้เริ่มแค่แม่คนเดียว แต่มันเป็นปัญหาภายใน(เรื่องทางบ้านเพื่อนที่เราไม่ควรเอามาพูด)
เราเคยพูดเรื่องให้ทำบัญชีกลางบริษัท(ซึ่งมันควรจะต้องเป็นแบบนั้น) ตั้งแต่เพื่อนมีปัญหาและมาขอคำปรึกษาแต่แรกๆ แต่ก็ยังเป็นแบบเดิม และเราก็พูดก็ย้ำเรื่องนี้ตลอดทุกครั้งเวลามาปรึกษากัน
จริงๆ เงิน เกือบๆ 4 หมื่น ถึงแม้มันจะไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆเลย แต่มันก็ไม่ได้ถึงกับมาก จนทำให้เป็นปัญหาขนาดนั้น
แต่ที่เรารู้สึก คือ รู้สึกเจ็บใจมากกว่า ที่แม่เขา ซึ่งก็เห็นเรามาแต่เล็กแต่น้อยเคยเที่ยวด้วยกัน ยกมือรับไหว้กัน จะมาทำกันแบบนี้ เหมือนเห็นเราเป็นแค่เด็ก ที่จะยังไงกับเราก็ได้ ไม่ต้องเกรงใจเรา ทั้งๆที่แต่รู้จักกันเราเคารพและเกรงใจพ่อ-แม่ เพื่อนมาตลอด
ในวันที่ธุรกิจเขาเงินขาดหมุนไม่ทัน เราวิ่งตรงเอาบุ๊คไปแบงค์ถอนให้เพื่อนได้เดี๋ยวนั้นทันที !
ซึ่งที่เขาทำ มันตรงข้าม มันน่าเกลียด ไม่รู้เราจะใช้คำแรงไปไหมหรือยัง ?
ตอนนี้ ชีวิตเราเองก็สะดุด จากที่เคยมีแรง มีไฟ ทำงานฟรีแลนซ์ ควบคู่งานบริษัทไปด้วย ก็ทำไม่ได้ เหลือแค่อย่างเดียว เริ่มหมดแรง หลายครั้งเข้าออฟฟิศก็จะไม่ไหว งานหลายๆอย่างเริ่มเจ๊ง เริ่มหดหาย
hobby งานอดิเรกที่เคยทำได้ เคยขายของอะไรได้ ตอนนี้ของก็ไม่มีขาย แต่บัญชีที่งอกเงยแตกผลไว้แล้วก็ต้องเดินต่อ เราได้เงินเดือนๆหนึ่งมา ก็ต้องทรานเฟอร์ไปใส่อีกบุ๊ค ไปเลี้ยงอีกบุ๊ค ,ให้น้อง ,ค่าต่างๆในบ้าน ส่วนใช้เราก็เหลือไม่เท่าไหร่ แค่ใช้กินไปวันๆ แต่ไม่มีเงินต่อยอดไปทำอย่างอื่น สเตทเม้นที่เคยเดินดี มันก็แย่ลง จะไปทำอะไรก็ลำบาก เราเป็นคนคิด เป็นคนวางแผนอยู่แล้ว
ชีวิตเรา คือรู้ว่าจุดหมายปลายทางคืออะไร และเราอยากทำอะไร แต่มันไปไม่ได้สักที พอสะดุดทีก็อยู่กับที่
สภาวะตอนนี้คือหมดแรงในสิ่งที่อยากจะทำมัน เหมือนไฟที่มันดับแล้วโดนลมเป่าๆ จุดยังไงมันก็ไม่ติด
แล้วเราก็กำลังจะป่วยเป็นโรคอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งหมอให้ไปตรวจที่ ศิริราช ก็ยังไม่ได้ไป เนื่องจากต้องไปรักษาห้องพิเศษและอาจจะไม่อยู่ในสิทธิประกันสังคม
*เราอยากจะถาม ว่าเราจะเกลียดแม่เพื่อนได้ไหม ?
ซึ่งใจจริงลึกๆ เราก็ไม่ได้อยากจะเกลียดแม่เขาเลย
ตัวเพื่อนเอง ก็เป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทที่เราเหลืออยู่
จริงๆถ้าไม่ได้มีปัญหาอะไรเราก็ไม่คิด แต่พอเรามีปัญาอะไรเข้ามาที โดยเฉพาะช่วงที่เรากำลังเผชิญกับตัวเองอยู่ตอนนี้ เราก็มักจะจับประเด็นนู่นนี่มาคิดรวมกันเต็มไปหมด
เราโอเคกับเพื่อน ที่ทุกวันนี้ไม่อะไรมากเลย เพราะถึงแม้ไม่มีจ่าย แต่เพื่อนไม่เคยพูดไม่ดี ไม่หนี และยังเจอๆกันอยู่
อารมณ์ ไม่มี - ไม่หนี - ไม่จ่าย
แต่สิ่งที่ไม่ค่อยโอเคอย่างหนึ่ง คือตัวเพื่อนเองก็มักจะติดมีนิสัยเห็นแก่ตัวอยู่ในแบบของมัน โดยที่ตัวเองคิดว่าตนเป็นคนไม่เห็นแก่ตัว
อย่างตอนที่มันบ่นแม่มันเรื่องได้เงินมาแล้วเอาไปใช้
มันก็พูดตามหลักว่าได้มาควรหักทุน แบ่งเก็บกำไรก่อน ไม่ใช่เอาไปใช้ส่วนตัว หรือจ่ายหนี้อะไรเลย ควรเคลียร์ภายในก่อน ไม่ใช่เอาไปใช้ตัวเอง หรือใช้หนี้คนอื่น (ใช้หนี้คนอื่น) ...
ใช่ เราก็ตอบไปได้แต่ว่า " ถูก "
ซึ่งมันก็ถูก และก็จริง ที่ต้องเป็นอย่างนั้น แต่มันก็พูดงี้ โดยที่ไม่ได้นึกถึงใจคนที่มันติดเงินอยู่อย่างเราบ้างเลย
จริงๆมันคิดถูก เราไม่อะไรกับมัน แต่เราก็แอบจุกเล็กๆ
และด้วยนิสัยส่วนตัวของเพื่อน ที่ได้มาไม่พอเก็บ แต่ก็ไม่ค่อยจะเก็บ
วันนึง ทำงานอยากกินกาแฟ ผ่าน สตาร์บั๊ค ก็ต้องแวะ
แม่มันอีก ที่ก็ติดและชอบใช้ให้มันออกไปซื้อเข้ามาให้
ทำงานเครียดๆ บุหรี่ อาทิตย์ๆนึง เฉลี่ย 2-3วัน ต้องซื้อทีกล่อง และค่าจิปาถะ ซึ่งจริงๆ ถ้ามันเก็บ บวกๆไป เดือนๆนึง ก็เป็นจำนวนเงินหลายบาท รวมๆกันไปเรื่อยๆก็ไม่ได้น้อยๆ อื่นๆฯ อีกถึงแม้มันจะลดเลิกของฟุ่มเฟื่อยหลายๆอย่างไปได้บ้าง มากแล้วก็ตาม
และนิสัยติดเพื่อน(เที่ยว) ปาร์ตี้ ซึ่งหลังๆเมื่อมันมีภาระนานๆอาจไปที แต่มันก็ยังเสพติดกับกลุ่มแบบนี้อะไรพวกนี้อยู่ ซึ่งไปที ก็ใช้เงินไม่ได้จะน้อย ทุกเทศกาลใช้ตังค์ คือต้องไป เพราะติดเพื่อนพวกนี้
ล่าสุด เราไปแอบเห็นโพสน์แท็ก จากเพื่อนคนหนึ่ง ซึ่งแท็กโปรตั๋วของแอร์เอเชียร์ ชวนเพื่อนแก๊งก๊วนสายเฮ้วๆ ว่าจะไปญี่ปุ่นกันสิ้นปีนี้(ขอเรียกย่อว่านาย K)
ซึ่ง นาย K คนดังกล่าวจริงๆ ก็เคยเป็นเพื่อนในกลุ่มเดียวกันกับเราเหมือนกัน แต่ได้เลิกคบกันไปแล้ว เนื่องจากชีวิตที่แตกต่างไม่ลงลอยและเดินกันไปคนละเส้นทาง เราไม่ได้มี friend บนเฟสบุ๊ค แต่เห็นจากโพสน์ที่แท็กมาหาเพื่อน
ซึ่งจริงๆ คิดว่า โอ หรือไม่ ? ... จากตรงนี้ เราเริ่มส่ายหน้า
ก่อนหน้านั้นปีก่อน เราคุยกันในกลุ่มที่เหลือๆกันอยู่ ว่าถ้าเพื่อนเคลียร์ปัญหาเสร็จแล้ว จะไปเที่ยวที่ไหนไกลๆกันสักที่ ซึ่งตอนแรกดูแพลนไว้สิ้นปีนี้ แต่เมื่อเห็นเพื่อนมีปัญหา และเพื่อนร่วมทริปที่แพลนด้วยกันทุกคนเห็นตรงกันว่าอยากรอมันโอเคกว่านี้ และอยากเก็บตังค์ทำอะไรกันก่อน ก็ขอทำงานเก็บตังค์กันไปเรื่อยๆก่อนรอๆมัน ... ซึ่งจริงๆเพื่อนคนต้นโพสน์นั้นอยากไป
มาวันนี้ เรากับกลุ่มเพื่อนก็นัดๆเจอๆกัน ซึ่งก็มีเพื่อนคนนี้ด้วย
และก็ได้มีประโยคหนึ่งที่เพื่อนคนนี้ได้เอ่ยสอบถามเรื่องนั่งรถต่างเมืองในญี่ปุ่นกับเพื่อนอีกคน ซึ่งเคยเป็นนักเรียนทุนไปเรียนอยู่นู่น
(ในใจเรารู้อยู่แล้วนะ แต่ก็นิ่ง)
เราถามเพื่อนไปว่าใครอยากไป บ้านหรอ
มันตอบกลับมาว่ามันนั่นแหละ ดูๆไว้ก่อน
ซึ่งเราไม่ได้พูดกับมันเรื่องไอ K
เพราะมันรู้ ว่าเราไม่ได้เป็นเพื่อนในเฟสกับ K แล้ว
แต่เราแอบไปเห็นจากโพสน์นาย K มัน ก่อนหน้านั้น
และเราก็คิดอยู่แล้วว่ามันต้องไป
เพราะส่วนตัวไอ K คนนี้ นั้นเป็นคนเอาแต่ใจ อยากได้อะไรต้องได้ อยากไปไหนต้องไป เพื่อนเก่าๆในกลุ่มทุกคนล้วนรู้ดี
ทุกวันนี้เพื่อนคนนี้ เวลาสนุก ก็มักจะไปกับกลุ่มนาย K
ซึ่งส่วนใหญ่จะมาเจอหน้าเรา กับกลุ่มเพื่อนเราอีกกลุ่มที่อยู่ด้วยกันก็เวลาปรับทุกข์ กับเรื่องงานเสียมากกว่า มีเอนจอยกันบ้างก็นิดๆหน่อยๆตามภาษาคนทำงานกันแล้ว
เราไม่ได้ไม่โอเคกับมันซะทีเดียว เพราะเวลาที่เป็นแบบนี้ เราก็เริ่มยิ่งที่จะโทษแม่มัน
หากช่างน้ำหนักแล้ว เอาจริงๆ ข้อดีของเพื่อนคนนี้ มันก็มี ถ้าตัดเรื่องทั้งหมดที่กล่าวมาทิ้ง มันก็เป็นเพื่อนที่ดีมากๆคนหนึ่ง
ปัญหาคร่าวๆมันก็มีอยู่แค่เรื่องทั้งหมดที่เล่ามา
ใจนึง เรื่องเที่ยวเรื่องตามใจเพื่อน เราก็อยากหาโอกาสพูดกับมันตรงๆ ซึ่งก็ไม่รู้จะใช้วิธีพูดยังไง
ใจนึง เราก็อยากวัดใจ วัดค่าความเป็นเพื่อน ความเห็นใจเกรงใจกันบ้างที่ตรงนี้ อยากรู้ว่ามันจะทำยังไง
ก็วัดๆกันไปเลยแล้วพอ ซึ่งเพื่อนอีกคนหนึ่งในกลุ่มก็บอกกับเราว่า ถ้าผลมันจะออกมาเป็นยังไง และเราเลือกทางไหน มันเคารพการตัดสินใจของเรา
เราควรบอกกับเพื่อนตรงๆ หรือ ควรวัดใจกันครั้งสุดท้ายที่ตรงนี้ ?
แล้วด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้ มันเพียงพอ และ สมควร กับการที่เราจะเกลียดแม่เพื่อนได้หรือยัง ?
เพราะจุดเริ่มต้นทั้งหมดจริงๆนั้น ก็ไม่ได้อยู่ที่เพื่อนเป็นคนก่อเลย
และถ้าสุดท้ายเราจะรู้สึกไม่ดีกับเพื่อนสนิทจริงๆของเราคนนี้มากๆไปด้วย เราก็คงอดที่จะโทษแม่แกไม่ได้จริงๆ